พรรณไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
|
|
ชื่อ Thai Name |
กระบก Krabok |
|
ชื่อวิทยาศาสตร์ Scientific Name |
Irvingia malayana Oliv. ex A. W. Benn. |
|
วงศ์ Family |
IRVINGIACEAE |
||
ชื่ออื่น ๆ Other Name |
กะบก kabok, จะบก chabok, ตระบก trabok (ภาคกลาง) จำเมาะ cham-mo (เขมร) ซะอัง sa-ang (ชอง-ตราด) บก bok, หมักลื่น mak luen, หมากบก mak bok (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มะมื่น ma muen, มื่น muen (ภาคเหนือ) มะลื่น ma luen (นครราชสีมา สุโขทัย) หลักกาย lak-kai (ส่วย-สุรินทร์) |
||
ลักษณะ Characteristics |
ไม้ต้น สูงถึง 30 เมตร ลำต้นเปลา โคนต้นมักเป็นพูพอนจำนวนมาก เปลือกค่อนข้างเรียบ-ขรุขระ ปลายกิ่งมีหูใบเรียวยาวและโค้งคล้ายเคียว ใบเดี่ยว รูปรีแกมไข่ เรียงสลับ โคนใบเบี้ยวเล็กน้อย ผิวใบเกลี้ยง ดอกออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง สีขาวอมเขียว กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายมน กลีบดอก 5 กลีบ รูปขอบขนานหรือรูปไข่ค่อนข้างยาว ใหญ่กว่ากลีบเลี้ยง เมื่อดอกบานปลายกลีบจะพับเข้าหาก้านดอก เกสรเพศผู้ 10 อัน เรียงเป็น 2 ชั้น รังไข่มี 2 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียสั้น มีอันเดียว ผลรูปกลมรี ยาว 3-6 เซนติเมตร คล้ายผลมะม่วงขนาดเล็ก เมื่อสุกสีเหลือง มีเนื้อหุ้มเหมือนมะม่วง เมล็ดแข็ง เนื้อในเมล็ดสีขาว มีน้ำมัน |
||
การกระจายพันธุ์ Distribution |
พบขึ้นตามป่าผลัดใบและป่าดิบแล้ง ที่ความสูงจากระดับทะเล 150–300 เมตร ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาค ในต่างประเทศพบที่ภูมิภาคอินโดจีน ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ออกผลระหว่างช่วงเดือน กุมภาพันธ์- สิงหาคม |
||
ประโยชน์ Utilization |
เนื้อไม้ ช่วยเจริญอาหาร ขับพยาธิในเด็ก ใบ แก้คันผิวหนัง เมล็ด รสมันร้อน บำรุงไขข้อในกระดูก แก้เส้นเอ็นพิการ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย บำรุงไต แก้ข้อขัด เนื้อในเมล็ด นำมาคั่วสุกมีรสมัน รับประทานได้ น้ำมันจากเมล็ด ใช้ทำสบู่และเทียนไข ผลสุก เป็นอาหารสัตว์ป่า เนื้อไม้ แข็งและหนัก เสี้ยนตรง ไม่แตกแยกเมื่อแห้ง ใช้ทำฟืน ถ่าน ซึ่งให้ความร้อนสูง ทำเครื่องมือกสิกรรม และสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในร่ม Leaf: itching ; Seed: kidney tonic |
||
แหล่งข้อมูล Reference |
- สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (1) น. 105 - พรรณไม้พื้นบ้านอีสาน เล่ม 1 น. 144-145 - สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน น. 97 - สารานุกรมสมุนไพร น. 85 |
||
คิวอาร์โค้ด QR Code |
|
ขยายพันธุ์โดย : การเพาะเมล็ด เนื่องจากเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมาก ก่อนเพราะอาจช่วยการงอกด้วยการตัดหัวท้ายของเมล็ดหรือขลิบตามรอยแยกของเมล็ด พื้นที่ปลูกไม่ควรเป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง ดินเป็นดินร่วน-ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,000 มิลลิเมตรขึ้นไป การเตรียมพื้นที่จัดเตรียมค่อนข้างละเอียดและมีการไถพรวน กล้าที่ใช้ปลูกควรเป็นกล้าค้างปี ขนาดของหลุมที่ขุดปลูก 30x30x30–50x50x50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์รองก้นหลุมส่วนระยะปลูกที่เหมาะสม 4x4, 4x6, 4x8, 6x6, และ 8x8 เมตร ในช่วงระยะปลูกแรก ๆ ใช้พืชเกษตรปลูกควบตามระบบวนเกษตร เมื่อต้นไม้เจริญเติบโตมีการแก่งแย่ง ควรมีการตัดสางขยายระยะจนเหลือระยะปลูก 8x8 หรือ 12x12 หรือ 16x16 เมตร
|
||
ข้อควรระวัง สตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรนี้ เนื่องจากทำให้แท้งบุตร ไม่ควรใช้สมุนไพรทุกชนิดติดต่อกันเกิน 7 วัน |